บทความตีพิมพ์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 4 "ผลไม้ไทย"

บทความตีพิมพ์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 4 "ผลไม้ไทย"

วันที่นำเข้าข้อมูล 9 ก.ย. 2558

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 876 view

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ประเทศไทยเเละประเทศจีนมีความตกลงด้านสินค้าเกษตรระหว่างกัน โดยจีนอนุญาตให้นำเข้าผลไม้ไทยได้จำนวน 22 ชนิด ได้เเก่ มะขาม ส้มเขียวหวาน น้อยหน่า ส้ม ส้มโอ มะละกอ มะเฟือง ฝรั่ง เงาะ ชมพู่ ขนุน ลองกอง สับปะรด ละมุด กล้วย เสาวรส มะพร้าว ลำไย ทุเรียน มะม่วง ลิ้นจี่ มังคุด ทั้งนี้ มีมาตรฐานเเละกฎระเบียบของผลไม้เเต่ละชนิดกำกับอยู่ เช่น ด่านของประเทศจีนที่อนุญาตให้นำเข้าผลไม้ไทยตามพิธีสารว่าด้วยการนำเข้าเเละส่งออกผลไม้ คือ ด่านบ่อหาน (โม่ฮาน) ของมณฑลยูนนาน เส้นทาง R9A ด่านโหย่วอี้ เขตกว่างซี เส้นทาง R9 นอกจากนี้ก็มีเมือง / มณฑล (ท่าเรือ / ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ) อีก  14 แห่ง ที่ประเทศจีนอนุญาตให้นำเข้าผลไม้จากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามเเม้ว่าจะมีข้อกำหนดเเละมาตรฐานสำหรับผลไม้ไทยเเต่ละชนิด ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยากเเละเป็นอุปสรรค เเต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีผลไม้ไทย 6 ชนิด ซึ่งเป็นที่นิยมมากเเละเข้าสู่ตลาดจีนได้โดยได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีนอย่างอบอุ่น คือ ทุเรียน มังคุด ส้มโอ มะม่วง กล้วยไข่ เเละลำไยเนื่องจากผลไม้เหล่านี้ของไทยมีช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ตรงกับผลไม้จากไต้หวันเเละอินโดนีเซีย ซึ่งส่งออกผลไม้ของประเทศตนไปยังประเทศจีนมากเช่นกัน นอกจากนี้เเล้วผลไม้ไทยที่มีคุณภาพดีเหล่านี้ก็มีรสชาติความอร่อยที่    เเตกต่างจากผลไม้ของประเทศคู่เเข่ง ดังนั้นด้วยชื่อเสียงเเละเครดิตที่ดีของผลไม้ไทยจึงสามารถทำตลาดในประเทศจีนได้

ผลไม้ไทยถือเป็นผลไม้เมืองร้อนซึ่งแปลกใหม่สำหรับผู้บริโภคชาวจีน ดังนั้นด้วยรสชาติของผลไม้ไทยซึ่งมีความแปลกแตกต่างเเละคุณภาพดี จึงทำให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีนซึ่งคุ้นเคยกับผลไม้เมืองหนาวเท่านั้น

จะเห็นได้ว่ายังมีผลไม้ไทยอีกหลายชนิดที่คนไทยคุ้นเคยเเละนิยมชมชอบแต่ยังไม่ค่อยรู้จักเเละยังไม่ค่อยได้รับความนิยมในประเทศจีน เช่น เงาะโรงเรียน ลองกอง สับปะรดภูเเล เสาวรส ละมุด น้อยหน่า ก็ล้วนเเล้วเเต่มีศักยภาพเเละมีช่องทางที่จะส่งไปจำหน่ายที่ประเทศจีนได้ เเต่ต้องมีเงื่อนไข 3 ประการ คือ ผลไม้ต้องมีคุณภาพ ปลอดจากสารเคมีตกค้าง เเละมีบรรจุภัณฑ์ที่รักษาความสดของผลไม้เเต่ละชนิดจนกว่าจะถึงมือผู้บริโภค

ผลไม้สดของไทยยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีก เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง สละลอยเเก้ว รวมทั้งเงาะและลำไยกระป๋อง ซึ่งทั้งหมดนี้ผู้ประกอบการที่มีความคิดสร้างสรรค์เเละใช้นวัตกรรมการผลิตที่ได้มาตรฐาน ย่อมจะสร้างสรรผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลไม้ไทยให้กลายเป็นผลไม้ไทยเเปรรูปชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นการเปิดตลาดเเละช่องทางการจำหน่ายที่ไม่เน้นแต่ผลไม้สดเท่านั้น เเต่เป็นผลไม้ไทยที่เเปรรูปด้วยกรรมวิธีต่างๆ สามารถสร้างมูลค่าให้ของฝาก ของที่ระลึก ติดไม้ติดมือให้ผู้บริโภคซื้อไปให้ญาติสนิท มิตรสหาย ตลอดจนเพื่อนฝูงได้ลิ้มลองอีกด้วย

ผู้ประกอบการไทยจะต้องใส่ใจในเรื่องบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น กล่อง เป็นถุง หรือเป็นกระป๋อง ต้องดูดีเเละสร้างมูลค่าเพิ่มเพราะเหมือนเป็นหน้าตาของผู้ซื้อด้วย เพื่อให้เป็นของฝากที่นอกจากที่เป็นผลไม้ไทยรสอร่อยเเล้ว ยังดูดีมีระดับเพื่อโชว์หรือมอบให้กับผู้รับโดยผู้ซื้อพอใจเเละผู้รับของฝากประทับใจเช่นกัน จึงขอสนับสนุนให้เกษตรกร ชาวไร่ ชาวสวน เเละผู้ประกอบการ เร่งผลิตผลไม้ไทยเเละผลไม้เเปรรูปที่ต่อยอดเเละสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้ผลไม้ไทยไม่เพียงเเต่มีผู้บริโภคนิยมเท่านั้นเเต่ยังเป็นของฝากเเละเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อเเละผู้บริโภคบอกต่อๆ กันไปว่า ต้องทดลองชิม ต้องซื้อไปฝาก เมื่อถึงฤดูกาลของมะม่วงน้ำดอกไม้หรือทุเรียนหมอนทอง เป็นต้น

นอกจากผลไม้สดแล้ว ผลไม้แห้ง เช่น ลำไยอบเเห้งของไทยก็มีขนาดผลใหญ่เมื่อเทียบกับของจีน ซึ่งลูกลำไยมีขนาดเล็ก ดังนั้นผู้บริโภคชาวจีนจึงไม่ค่อยนิยมใช้ลำไยอบเเห้งของจีนเองเนื่องจากอบเเห้งเเล้วจะมีขนาดเล็ก ดูไม่ดี เเละไม่มีความมั่นใจในคุณภาพเเละความปลอดสารตกค้างของลำไย ดังนั้นผู้ประกอบการไทย ที่เน้นลำไยคุณภาพเเละปลอดสารตกค้าง จึงมีโอกาสทำตลาดในประเทศจีน เพราะว่าผลงานวิจัยของบริษัท Nielson รายงานว่า 45% ของชนชั้นกลางในจีน (มีรายได้ครัวเรือน 6 หมื่นถึง 1 แสนหยวนต่อปี) ยินดีที่จะควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มขึ้น หากสินค้าที่ตนซื้อมีความปลอดภัย เเละ 81% อ่านฉลากอาหารอย่างละเอียดโดยให้ความสำคัญกับข้อมูลโภชนาการ (วิตามิน) ปลอดสารเคมีตกค้าง เเละเป็นเกษตรอินทรีย์หรือไม่ เนื่องจากตลาดลำไยเป็นที่นิยมใช้บริโภคสดๆ ใช้ประกอบอาหารเเละใช้ประกอบเป็นส่วนหนึ่งของยาจีนอีกด้วย

นอกจากผลไม้สดแล้ว ยังมีผลไม้ไทยแปรรูปต่างๆ เช่น ทุเรียนอบกรอบ มะม่วงแช่อิ่ม ขนมเวเฟอร์มังคุด สับปะรดกระป๋อง กล้วยตาก ไอศกรีมกะทิ คุ๊กกี้มะพร้าว ซึ่งได้รับความนิยมเเละสามารถทำตลาดได้ดีในประเทศจีน ดังนั้นหัวใจหลักของคุณภาพผลไม้ไทย คือ ต้องขนส่งในตู้คอนเทนเนอร์ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิระหว่างขนส่งได้ เเละบนเส้นทาง R3A ก็มีบริษัทขนส่งที่ให้บริการแบบนี้แล้ว

ชาวจีนนิยมทานผลไม้เพราะมีประโยชน์มากมายจนมีคำกล่าวว่า “ทานพุทราจีนวันละผล หนุ่มสาวตลอดกาล ดังนั้นผลไม้เมืองหนาวจึงเป็นของโปรดของผู้บริโภคชาวจีน แต่ผลไม้เมืองร้อนของไทยก็เป็นของยอดนิยมของผู้บริโภคชาวจีนเช่นกัน

ผลไม้ไทยส่งไปยังมณฑลยูนนานเเห่งเดียว เเละส่งออกมากที่สุด 3 อันดับเเรก ได้เเก่ มังคุด(ราชินีผลไม้) ตามมาด้วย ลำไย เเละกล้วย โดยในปี 2557 มณฑลยูนนานนำเข้าผลไม้จากไทย 65,960 ตัน รวมมูลค่า 125 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51 จากมูลค่าสินค้าที่ไทยส่งออกไปมณฑลยูนนาน โดยใช้เส้นทาง R3A ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นเส้นทาง Logistic ที่สั้นและประหยัดเวลา โดยมีระยะทางในช่วง สปป.ลาวเพียง 247 ก.ม.เท่านั้น ดังนั้น ผลไม้ไทยที่ขนส่งโดยรถบรรทุกเริ่มจากด่านเชียงของ จ.เชียงราย ก็จะถึงด่านบ่อเต็นของ สปป.ลาว ซึ่งมีพรมแดนติดกับด่านโมฮาน เขตสิบสองพันนาของมณฑลยูนนาน ภายในเวลาเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น และจากด่านโมฮาน ใช้เวลาอีกประมาณ 7 ชั่วโมง เพื่อขนส่งสินค้าถึงนครคุนหมิง และกระจายไปยังเมืองต่างๆ ของมณฑลยูนนานต่อไป